เป็นยังไงบ้างครับ ตอนนี้น้อง ๆ หาที่เรียนกวดวิชากันได้หรือยัง ถ้ายังต้องรีบแล้วนะครับ อย่าปล่อยเวลาผ่านไปน่าใจหาย สถาบันกวดวิชาเข้าเตรียมทหารมีเยอะพอสมควรนะครับ แต่ต้องพิจารณาให้ดี ๆ ครับ แอดมินขอพูดตามตรงจากประสบการณ์ว่าโรงเรียนกวดวิชาที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ เน้นแต่ด้านธุรกิจ โฆษณาเกินจริง ไม่ใส่ใจเด็กนั้น แอดมินเห็นมาพอสมควร โรงเรียนกวดวิชาที่ดีนั้นต้องเอาใจใส่เด็ก แล้วก็ทุ่มเทให้กับเด็กที่มุ่งมั่นตั้งใจเรียนครับ ส่วนเด็กที่เกเร หรือทำความเดือดร้อนให้เพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนนั้น ก็ต้องกล้าส่งกลับบ้านครับ คือไม่ให้คนส่วนน้อยที่ไม่ดี มารบกวนหรือทำให้คนที่ตั้งใจมาเรียนเสียสมาธิเป็นอันขาด
การเรียนกวดวิชาในโค้งสุดท้ายก่อนสอบนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก (แต่ไม่ได้หมายความว่าใครไม่เรียนแล้วจะสอบไม่ติด) แต่ที่สำคัญก็คือการเตรียมความพร้อมให้ถึงจุดสูงสุด ก่อนที่จะลงสนามสอบแข่งกับคนอื่น โดยปกติแล้วเด็กที่มาสมัครสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารจะมีอยู่ประมาณ 20,000 คนไม่น่าต่ำกว่านี้ (รวม 4 เหล่าแล้ว) แต่แอดมินว่าเด็กนักเรียนที่มีความพร้อม และตั้งใจจริง ๆ ฟิตมาจริง ๆ พร้อมจริง ๆ นั้นไม่น่าจะเกิน 3,000 คนเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือก็เป็นเด็กที่มาสอบแบบพ่อแม่อยากให้สอบบ้าง มาลองข้อสอบบ้าง สอบตามเพื่อนบ้างซะเยอะ แต่ก็นั่นแหละ จะมีใครสักกี่คนที่เตรียมตัวล่วงหน้าและมีความพร้อมที่จะสอบจริง ๆ
ตอนแอดมินอยู่ ม.5 แอดมินใช้เวลาเตรียมตัวก่อนสอบเป็นเวลาประมาณ 8 เดือน ตั้งแต่ประมาณเดือนมิถุนายน 2541 - กุมภาพันธ์ 2542 โดยอ่านหนังสือ นิยาม เนื้อหา สูตร ข้อควรจำต่าง ๆ แล้วจดลงในสมุด อ่านทบทวนบ้าง เรื่องกีฬายอมรับว่าเลิกเล่นไปเลย เพราะแอดมินเคยเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของโรงเรียนตอนเรียนมัธยมอยู่ด้วย จำใจต้องเลือกอนาคต เพราะอยากสอบติดเป็นนักเรียนเตรียมทหารให้ได้ จากนั้นก็เข้าเรียนกวดวิชาในโค้งสุดท้าย โดยสอบได้อยู่ห้อง 1 ของสถาบันนั้นครับ
ทีนี้ก็มาถึงเทคนิคการเรียนกวดวิชายังไงให้ได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารแล้วนะครับ ซึ่งถ้าอยากสอบได้นั้น ควรมีสิ่งที่ต้องยึดถือดังนี้ครับ
1.มีความมุ่งมั่นตั้งใจ
2.ขยันหมั่นเพียร
3.มีความกตัญญูรู้คุณ
2.ระหว่างเรียนกวดวิชา
เทคนิคการเรียนกวดวิชาเพื่อจะเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้นควรยึดหลัก มุ่งมั่น-ขยัน-กตัญญู ตามที่แอดมินได้กล่าวไว้แล้วนะครับ
2.1 มุ่งมั่น - มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ไหน ๆ ก็เสียเงินมาเรียนแล้วต้องไขว่คว้าความรู้กลับไปให้ได้มากที่สุด มีสมาธินะครับ ไม่ว่อกแว่ก เรื่องแฟนตัดไว้ก่อน เข้าใจว่าวัยหนุ่ม กำลังมีฟามรัก แต่ตัดได้ตัดไปก่อน สอบติดแล้วค่อยว่ากัน ถ้าผู้หญิงคนไหนไม่ยอมรอเรา งอแงช่วงที่เรากำลังกวดวิชา เลิกได้ก็เลิกเลยครับ ถือว่าเขาไม่รักเราจริง ไม่ได้อยากให้เราได้ดี
ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน จดได้จด ไม่เข้าใจยกมือถาม ไม่ต้องอาย รู้ไหมครับว่าคนสอนเขาอยากให้นักเรียนถามนะครับ เขาจะได้รู้ว่านักเรียนไม่เข้าใจตรงไหน ถ้าเงียบ อาจารย์เขาก็ไม่รู้ว่าเรายังขาดตกบกพร่องตรงไหน
2.2 ขยัน - ขยันหมั่นเพียร นอกจากตั้งใจเรียนในห้องเรียนแล้ว ยังต้องทำแบบฝึกหัดทบทวนนะครับ โค้งสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องอ่านเนื้อหามาก เน้นทำแบบฝึกหัดอย่างเดียว โดยเฉพาะข้อสอบเก่า ต้องทำให้มาก ๆ เพราะข้อสอบไม่หนีไปจากนั้นเท่าไรหรอกครับ วนไปวนมาซ้ำไปซ้ำมา
วันนี้เรียนวิชาไหน กลางคืนก็ทำแบบฝึกหัดวิชานั้นก่อนนอนครับ เน้นวิชาที่มีน้ำหนักคะแนนมากก่อน คือคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ครับ เช่น ถ้าน้อง ๆเรียนกวดวิชาทั้งหมด 30 วัน ควรเลือกทำแบบฝึกหัดวิชาคณิตศาสตร์ 9 วัน วิทยาศาสตร์ 9 วัน ภาษาอังกฤษ 7 วัน และภาษาไทย+สังคมศึกษา 5 วันครับ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าคะแนนเลข+วิทย์ รวมกันแล้วสูงถึง 400 คะแนนจาก 700 คะแนนนะครับ เกินครึ่งนะบอกไว้ก่อน
2.3 กตัญญู - กตัญญูรู้คุณ หมายถึงต้องมีความกตัญญูรู้คุณบิดามารดา หรือผู้ปกครองที่ได้จ่ายเงินค่าเล่าเรียนให้เรา ได้มาเป็นนักเรียนติวเข้าเตรียมทหาร แอดมินขอบอกว่าไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลยนะครับ พวกเรายังไม่ได้หาเงินเอง คงไม่เข้าใจ เงินหมื่นกว่าบาท สองหมื่นกว่าบาท หรือบางคอร์สเป็นแสนเลยก็มี มาจากการทำงานของคุณพ่อคุณแม่ทั้งนั้นครับ หาได้เสกเงินมาอย่างใดไม่ พวกเรายังเด็ก ไม่ต้องหาเงินช่วยพ่อแม่หรอกครับ หน้าที่ของเราคือตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เราต้องให้ท่านเห็นว่าเราตั้งใจจริง มุ่งมั่นจริง ขยันจริง ถึงแม้สอบไม่ได้ดั่งใจ แต่คุณพ่อคุณแม่ท่านคงไม่เสียใจ ไม่ใช่มาเรียนแล้วก็เกเรโดดเรียนไปวัน ๆ
แอดมินเห็นมาจากประสบการณ์เยอะแล้วนะครับ ทั้งขณะที่กำลังเรียนกวดวิชาอยู่ ขณะเป็นนักเรียนเตรียมทหาร-นักเรียนนายร้อยไปช่วยคุมเด็กกวดวิชา ทั้งเป็นคนสอนเอง เด็ก ๆ ที่มาเรียน พอจับกลุ่มกันได้ก็อยากเที่ยว ไปเล่นเกมตามร้านเกมบ้าง ไปเดินห้างบ้าง โดดเรียนนอนอยู่ในห้องบ้าง ผลที่ได้น่ะเหรอครับ เด็กพวกนี้ "ไม่มีใครสอบติดแม้แต่คนเดียว!" เพราะฉะนั้น แอดมินขอเถอะครับ น้อง ๆ ที่มาเรียนพิเศษ ต้องตั้งใจเรียนเพื่อเป็นการตอบแทนให้ผู้มีพระคุณของเรานะครับ
ทุกวันนี้แอดมินยอมรับว่า ตัวเองได้ประสบความสำเร็จในชีวิตมาได้จุด ๆ หนึ่งแล้ว (แต่ยังมีเป้าหมายให้ทำอีกมากมาย) แอดมินมาถึงจุดนี้ได้เพราะยึดหลัก 3 ข้อนั้นแหละครับ "มุ่งมัน-ขยัน-กตัญญู" ถ้าถามว่า
ที่ผ่านมาเหนื่อยไหม?
เหนื่อยครับ
เคยท้อไหม?
เคยท้อครับ
แล้วผ่านมาได้ยังไง?
แอดมินก็ยึดหลัก 3 ข้อนั่นแหละครับ เวลาท้อแท้มาก ๆ คนที่แอดมินนึกถึงไม่ใช่แฟนนะครับ แต่ก็คือพ่อแม่นั่นแหละครับ ที่เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เราผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ มาได้ครับ ท้อได้ครับ แต่อย่าถอย มีทัศนคติที่ดีเข้าไว้ ปัญหามีไว้แก้ อุปสรรคมีไว้พุ่งชนครับ
สุดท้ายนี่แอดมินขอฝากเพลงนึงไว้ครับ ซึ่งเป็นเพลงที่แอดมินชอบมากเพลงนึง เอาไว้ฟังเพลงพบเจอปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตครับ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ ซึ่งพลาดไม่ได้เลย เทคนิคการทำข้อสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารครับผม
บล็อกสำหรับคนอยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น นักเรียนเตรียมทหาร นักเรียนนายร้อย จปร. นักเรียนนายเรือ นักเรียนนายเรืออากาศ และนักเรียนนายร้อยตำรวจ
วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555
เทคนิคการเรียนกวดวิชาเพื่อสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร 1
ณ ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่ประมาณ 2 เดือนนิด ๆ เท่านั้นเองก็จะถึงวันสอบแล้วนะครับ เป็นยังไงบ้าง น้อง ๆ เตรียมตัวกันหรือยัง ถ้ายัง ด่วนเลยนะครับ ต้องรีบเลยนับจากนาทีนี้เป็นต้นไป ไม่งั้นโอกาสไม่ทันมีสูงนะครับ
ผู้ปกครองและนักเรียนหลาย ๆ คนก็คงเริ่มที่จะมองหาที่เรียนกวดวิชากันแล้วใช่ไหมครับ ในตอนนี้แอดมินมีเทคนิคการเรียนกวดวิชามาฝากครับ ซึ่งจากประสบการณ์ของแอดมินเอง พอจะสรุปได้ 2 ขั้นตอน ดังนี้
1.การเตรียมตัวก่อนไปเรียนกวดวิชา
2.ระหว่างการเรียนกวดวิชา
การเตรียมตัวก่อนไปเรียนกวดวิชา
1.เตรียมอ่านเนื้อหาพื้นฐานไปก่อน สำคัญมากนะครับ หากไม่มีความรู้พื้นฐานแล้วไปเรียนเลย เนื่องจากคอร์สกวดวิชาส่วนมากนั้นมีเวลาค่อนข้างจำกัด ประมาณ 1 เดือนเศษ ที่จะต้องเรียนเนื้อหาพร้อมทำแบบฝึกหัด แน่นอนว่าจะต้องไปเร็วเป็นพิเศษเพราะเนื้อหาข้อสอบเข้าเตรียมทหารนั้นค่อนข้างยาก ถ้าไม่มีความรู้พื้นฐานไปเลย มักจะตามเพื่อนไม่ทันครับ เมื่อตามไม่ทันก็ท้อ หมดกำลังใจเอาง่าย ๆ
ทางที่ดีควรอ่านสรุปเนื้อหาทุกวิชาในชั้น ม.ต้นไปล่วงหน้าก่อน อย่างน้อยให้มีความรู้พื้นฐานเพียงพอ เมื่อไปเรียนกวดวิชาแล้วจะได้พร้อมสำหรับการเรียนการสอนแบบไปไว ๆ ของคอร์สกวดวิชา ยิ่งรู้มากยิ่งมีสิทธิ์มากครับ สมัยแอดมินอยู่ ม.5 แอดมินเตรียมตัวสอบประมาณ 8 เดือนเลยทีเดียว โดยอ่านสรุปทุกวิชา โดยค่อย ๆ ทะยอยอ่านไปก่อนเรื่อย ๆ ครับ
2.ใช้สมุดแยกวิชาละ 1 เล่ม ควรจัดแยกวิชาละเล่มครับ อย่าให้ไปปนกัน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะดวกในการเปิดหาสูตร นิยาม กฎต่าง ๆ รวมถึงแกรมม่าครับ
3.สรุปเนื้อหาสำคัญ สูตร นิยาม ลงในสมุด ไม่จำเป็นต้องลอกทั้งหมดนะครับ เราอ่านหนังสือเรียน แล้วเราก็ทำความเข้าใจและจดสูตร นิยามต่าง ๆ พร้อมตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงในสมุดครับ แอดมินเคยทำแล้ว ช่วยได้เยอะเลยทีเดียว
4.ฝึกทำแบบฝึกหัดพื้นฐาน ทำไมต้องแบบฝึกหัดพื้นฐาน ก็เพราะแอดมินอยากให้พวกเรา "แม่น" ในพื้นฐานของวิชาต่าง ๆ เสียก่อน เมื่อแม่นแล้ว เราจะพร้อมและไม่ยากที่จะขยับไปทำโจทย์ที่ซับซ้อนขึ้น เช่นวิชาคณิตศาสตร์ ก็หมั่นทำแบบฝึกหัดในหนังสือเรียนนั่นแหละครับ แอดมินรับรองว่าไม่น่าจะยากกว่าข้อสอบเข้าเตรียมทหาร หรือวิชาวิทยาศาสตร์ ในแบบเรียนมักจะโจทย์ไม่ซับซ้อนมาก แก้ปัญหาแค่ 1-2 ชั้น ซึ่งข้อสอบเตรียมทหารมักจะยากกว่านั้นครับ
เหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่า ๆ คอร์สเตรียมทหารที่เด็ก ๆ จะไปเรียนกวดวิชานั้นก็คงจะเปิดกันแล้ว ใช้เวลา 1 เดือนที่เหลือนี่แหละครับ งดเล่น งดเที่ยวสักพัก ไม่ตายหรอกครับ หันมาตั้งใจอ่านหนังสือ มุ่งมั่นสู่การเป็นนายร้อยกันดีกว่า รุ่นพี่คนหนึ่งของแอดมินเคยพูดไว้ว่า "ยอมเสียเวลาอ่านหนังสือตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่แค่ 1-2 เดือนที่เหลือนี้ แลกกับอนาคตที่มั่นคงไปทั้งชีวิต" ถ้าสอบได้ คุ้มยิ่งกว่าคุ้มนะครับ
แอดมินเข้าใจชีวิตเด็กมัธยมนะครับ (เพราะตัวเองก็เคยเป็นเด็กมัธยมมาก่อน) การเล่นกับเพื่อนมันสนุกแค่ไหน แอดมินทราบครับ แต่เวลาเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว ทนเหนื่อยอ่านหนังสือหน่อยครับ ตอนนี้ขอลากันไปด้วยเพลง ๆ หนึ่งซึ่งแอดมินชอบมากครับ เวลาที่เหนื่อย ท้อแท้ หมดกำลังใจ ก็มักจะฟังเพลงนี้ มันทำให้กลับมีกำลังใจขึ้นอีก สำหรับตอนหน้า จะเป็นเทคนิคระหว่างการเรียนกวดวิชานะครับ
ผู้ปกครองและนักเรียนหลาย ๆ คนก็คงเริ่มที่จะมองหาที่เรียนกวดวิชากันแล้วใช่ไหมครับ ในตอนนี้แอดมินมีเทคนิคการเรียนกวดวิชามาฝากครับ ซึ่งจากประสบการณ์ของแอดมินเอง พอจะสรุปได้ 2 ขั้นตอน ดังนี้
1.การเตรียมตัวก่อนไปเรียนกวดวิชา
2.ระหว่างการเรียนกวดวิชา
การเตรียมตัวก่อนไปเรียนกวดวิชา
1.เตรียมอ่านเนื้อหาพื้นฐานไปก่อน สำคัญมากนะครับ หากไม่มีความรู้พื้นฐานแล้วไปเรียนเลย เนื่องจากคอร์สกวดวิชาส่วนมากนั้นมีเวลาค่อนข้างจำกัด ประมาณ 1 เดือนเศษ ที่จะต้องเรียนเนื้อหาพร้อมทำแบบฝึกหัด แน่นอนว่าจะต้องไปเร็วเป็นพิเศษเพราะเนื้อหาข้อสอบเข้าเตรียมทหารนั้นค่อนข้างยาก ถ้าไม่มีความรู้พื้นฐานไปเลย มักจะตามเพื่อนไม่ทันครับ เมื่อตามไม่ทันก็ท้อ หมดกำลังใจเอาง่าย ๆ
ทางที่ดีควรอ่านสรุปเนื้อหาทุกวิชาในชั้น ม.ต้นไปล่วงหน้าก่อน อย่างน้อยให้มีความรู้พื้นฐานเพียงพอ เมื่อไปเรียนกวดวิชาแล้วจะได้พร้อมสำหรับการเรียนการสอนแบบไปไว ๆ ของคอร์สกวดวิชา ยิ่งรู้มากยิ่งมีสิทธิ์มากครับ สมัยแอดมินอยู่ ม.5 แอดมินเตรียมตัวสอบประมาณ 8 เดือนเลยทีเดียว โดยอ่านสรุปทุกวิชา โดยค่อย ๆ ทะยอยอ่านไปก่อนเรื่อย ๆ ครับ
2.ใช้สมุดแยกวิชาละ 1 เล่ม ควรจัดแยกวิชาละเล่มครับ อย่าให้ไปปนกัน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะดวกในการเปิดหาสูตร นิยาม กฎต่าง ๆ รวมถึงแกรมม่าครับ
3.สรุปเนื้อหาสำคัญ สูตร นิยาม ลงในสมุด ไม่จำเป็นต้องลอกทั้งหมดนะครับ เราอ่านหนังสือเรียน แล้วเราก็ทำความเข้าใจและจดสูตร นิยามต่าง ๆ พร้อมตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงในสมุดครับ แอดมินเคยทำแล้ว ช่วยได้เยอะเลยทีเดียว
4.ฝึกทำแบบฝึกหัดพื้นฐาน ทำไมต้องแบบฝึกหัดพื้นฐาน ก็เพราะแอดมินอยากให้พวกเรา "แม่น" ในพื้นฐานของวิชาต่าง ๆ เสียก่อน เมื่อแม่นแล้ว เราจะพร้อมและไม่ยากที่จะขยับไปทำโจทย์ที่ซับซ้อนขึ้น เช่นวิชาคณิตศาสตร์ ก็หมั่นทำแบบฝึกหัดในหนังสือเรียนนั่นแหละครับ แอดมินรับรองว่าไม่น่าจะยากกว่าข้อสอบเข้าเตรียมทหาร หรือวิชาวิทยาศาสตร์ ในแบบเรียนมักจะโจทย์ไม่ซับซ้อนมาก แก้ปัญหาแค่ 1-2 ชั้น ซึ่งข้อสอบเตรียมทหารมักจะยากกว่านั้นครับ
เหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่า ๆ คอร์สเตรียมทหารที่เด็ก ๆ จะไปเรียนกวดวิชานั้นก็คงจะเปิดกันแล้ว ใช้เวลา 1 เดือนที่เหลือนี่แหละครับ งดเล่น งดเที่ยวสักพัก ไม่ตายหรอกครับ หันมาตั้งใจอ่านหนังสือ มุ่งมั่นสู่การเป็นนายร้อยกันดีกว่า รุ่นพี่คนหนึ่งของแอดมินเคยพูดไว้ว่า "ยอมเสียเวลาอ่านหนังสือตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่แค่ 1-2 เดือนที่เหลือนี้ แลกกับอนาคตที่มั่นคงไปทั้งชีวิต" ถ้าสอบได้ คุ้มยิ่งกว่าคุ้มนะครับ
แอดมินเข้าใจชีวิตเด็กมัธยมนะครับ (เพราะตัวเองก็เคยเป็นเด็กมัธยมมาก่อน) การเล่นกับเพื่อนมันสนุกแค่ไหน แอดมินทราบครับ แต่เวลาเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว ทนเหนื่อยอ่านหนังสือหน่อยครับ ตอนนี้ขอลากันไปด้วยเพลง ๆ หนึ่งซึ่งแอดมินชอบมากครับ เวลาที่เหนื่อย ท้อแท้ หมดกำลังใจ ก็มักจะฟังเพลงนี้ มันทำให้กลับมีกำลังใจขึ้นอีก สำหรับตอนหน้า จะเป็นเทคนิคระหว่างการเรียนกวดวิชานะครับ
วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555
หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ : กว่าจะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหาร ตอนที่ 2
ตอนนี้ก็มาถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการสอบรอบที่สองแล้วนะครับ จากที่กล่าวไปในตอนที่แล้วว่า ต่อให้เตรียมตัวสอบรอบสองอย่างไร แต่ถ้าสอบภาควิชาการในรอบแรกไม่ผ่าน ก็ไม่มีประโยชน์ต่อการสอบเลยนะครับ
แต่ก็ไม่ใช่การเตรียมตอบสอบรอบสองนั้นไม่สำคัญ ควรเตรียมร่างกายแต่พอดี ออกกำลังกายบ้าง ไม่ใช่ว่าอ่านหนังสืออย่างเดียวไม่ออกกำลังกายเลย หรือออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง เตะบอลจนเย็นจนค่ำ สุดท้ายเหนื่อยอาบน้ำนอน ไม่ได้อ่านหนังสืออีก ยังไงๆ ก็เดินทางสายกลางละกันนะครับ
หลังจากสอบภาควิชาการเสร็จแล้ว กว่าจะประกาศผลก็อีกประมาณ 2 สัปดาห์นั่นแหละครับ โดยจะประกาศผลสอบทางอินเตอร์เน็ตในช่วงก่อนวันสงกรานต์ ช่วงหลังสอบรอบแรกเสร็จเนี่ยแหละครับ ค่อยเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง แอดมินว่าจะได้ผลดีมาก ๆ เนื่องจากก่อนสอบรอบแรกเราได้ออกกำลังกายมาได้ประมาณหนึ่งแล้ว ช่วงนี้ก็จะเป็นการเพิ่มกำลัง เพิ่มสกอร์ในท่าต่าง ๆ แต่ถ้าใครไม่เคยออกกำลังกายมาเลย แล้วเพิ่งมาเริ่มช่วงนี้ เหนื่อยแน่ครับ ขอบอก
สำหรับการสอบรอบที่ 2 พอจะสรุปคร่าว ๆ ได้ดังนี้ครับ
1.การตรวจร่างกาย หรือตรวจโรค
2.การทดสอบความถนัดและวิภาววิสัย
3.การสอบพลศึกษา
4.สัมภาษณ์ ท่วงทีวาจาและความเหมาะสม
1.การตรวจร่างกายหรือตรวจโรค
เพื่อตรวจสุขภาพและตรวจหาโรค ซึ่งเป็นลักษณะของโรคที่ต้องห้าม ขัดต่อการรับราชการทหารตำรวจครับ มีเยอะแยะมาก ๆ ซึ่งแต่ละโรคก็ไม่ค่อยมีคนเป็นหรอกครับ แต่มักจะตกกันบ่อย ๆ ก็จะเป็นสายตาสั้น ตาบอดสี ฟันผุแล้วยังไม่ได้อุด ผมเองก็เห็นในเว็บบอร์ดโรงเรียนเตรียมทหารน่ะครับ ชอบถามกันบ่อย ๆ ว่าผมเป็นแผลตรงนั้นตรงนี้ สอบได้ไหมครับ แอดมินขอตอบเลยว่า ถ้าเป็นแผลเป็นนิดหน่อย ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตโอเวอร์ก็ไม่มีปัญหานะครับ
ประสบการณ์สิบปีที่ผ่านมา เคสที่ผมเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกจากเด็กนักเรียนที่ผมสอนปีที่แล้ว ซึ่งสามารถสอบติดทั้ง 4 เหล่า พอรอบสองเลือกสอบเหล่าตำรวจ ซึ่งได้ลำดับที่ดีที่สุด รอบสองก็ผ่านทุกอย่าง แต่ไปตกตรวจโรค ซึ่งหมอวินิจฉัยว่า "เท้าแบน"
ตอนแรกผมก็งงว่าเท้าแบนคืออะไร พอไปดูเท้าของเจ้าตัว ก็ถึงบางอ้อ ลองนึกภาพนะครับ ยกเท้าตัวเองขึ้นมาดูก็ได้ ข้างใต้เท้าด้านในของเรา ปกติมันจะเว้าใช่ไหมครับ ถ้าเราเอาเท้าวางบนพื้น ก็จะเอานิ้วสออดเข้าไปได้ แต่เท้าแบนนี่คือใต้เท้าเราจะเสมอกันไปหมดเลย ไม่มีการเว้าที่ข้างเท้าด้านใน ใครนึกไม่ออกก็ดูภาพประกอบนี้ครับ
แต่ก็ไม่ใช่การเตรียมตอบสอบรอบสองนั้นไม่สำคัญ ควรเตรียมร่างกายแต่พอดี ออกกำลังกายบ้าง ไม่ใช่ว่าอ่านหนังสืออย่างเดียวไม่ออกกำลังกายเลย หรือออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง เตะบอลจนเย็นจนค่ำ สุดท้ายเหนื่อยอาบน้ำนอน ไม่ได้อ่านหนังสืออีก ยังไงๆ ก็เดินทางสายกลางละกันนะครับ
หลังจากสอบภาควิชาการเสร็จแล้ว กว่าจะประกาศผลก็อีกประมาณ 2 สัปดาห์นั่นแหละครับ โดยจะประกาศผลสอบทางอินเตอร์เน็ตในช่วงก่อนวันสงกรานต์ ช่วงหลังสอบรอบแรกเสร็จเนี่ยแหละครับ ค่อยเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง แอดมินว่าจะได้ผลดีมาก ๆ เนื่องจากก่อนสอบรอบแรกเราได้ออกกำลังกายมาได้ประมาณหนึ่งแล้ว ช่วงนี้ก็จะเป็นการเพิ่มกำลัง เพิ่มสกอร์ในท่าต่าง ๆ แต่ถ้าใครไม่เคยออกกำลังกายมาเลย แล้วเพิ่งมาเริ่มช่วงนี้ เหนื่อยแน่ครับ ขอบอก
สำหรับการสอบรอบที่ 2 พอจะสรุปคร่าว ๆ ได้ดังนี้ครับ
1.การตรวจร่างกาย หรือตรวจโรค
2.การทดสอบความถนัดและวิภาววิสัย
3.การสอบพลศึกษา
4.สัมภาษณ์ ท่วงทีวาจาและความเหมาะสม
1.การตรวจร่างกายหรือตรวจโรค
เพื่อตรวจสุขภาพและตรวจหาโรค ซึ่งเป็นลักษณะของโรคที่ต้องห้าม ขัดต่อการรับราชการทหารตำรวจครับ มีเยอะแยะมาก ๆ ซึ่งแต่ละโรคก็ไม่ค่อยมีคนเป็นหรอกครับ แต่มักจะตกกันบ่อย ๆ ก็จะเป็นสายตาสั้น ตาบอดสี ฟันผุแล้วยังไม่ได้อุด ผมเองก็เห็นในเว็บบอร์ดโรงเรียนเตรียมทหารน่ะครับ ชอบถามกันบ่อย ๆ ว่าผมเป็นแผลตรงนั้นตรงนี้ สอบได้ไหมครับ แอดมินขอตอบเลยว่า ถ้าเป็นแผลเป็นนิดหน่อย ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตโอเวอร์ก็ไม่มีปัญหานะครับ
ประสบการณ์สิบปีที่ผ่านมา เคสที่ผมเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกจากเด็กนักเรียนที่ผมสอนปีที่แล้ว ซึ่งสามารถสอบติดทั้ง 4 เหล่า พอรอบสองเลือกสอบเหล่าตำรวจ ซึ่งได้ลำดับที่ดีที่สุด รอบสองก็ผ่านทุกอย่าง แต่ไปตกตรวจโรค ซึ่งหมอวินิจฉัยว่า "เท้าแบน"
ตอนแรกผมก็งงว่าเท้าแบนคืออะไร พอไปดูเท้าของเจ้าตัว ก็ถึงบางอ้อ ลองนึกภาพนะครับ ยกเท้าตัวเองขึ้นมาดูก็ได้ ข้างใต้เท้าด้านในของเรา ปกติมันจะเว้าใช่ไหมครับ ถ้าเราเอาเท้าวางบนพื้น ก็จะเอานิ้วสออดเข้าไปได้ แต่เท้าแบนนี่คือใต้เท้าเราจะเสมอกันไปหมดเลย ไม่มีการเว้าที่ข้างเท้าด้านใน ใครนึกไม่ออกก็ดูภาพประกอบนี้ครับ
หมอบอกว่าโรคเท้าแบนขัดต่อการเป็นทหารตำรวจก็เพราะ หากยืนเดินหรือวิ่งนาน ๆ จะปวดเมื่อย และเป็นอุปสรรคด้วยครับหากต้องไปทำภารกิจที่ภูมิประเทศยากลำบาก
การตรวจร่างกายนี้ไม่มีการคิดคะแนนนะครับ มีแค่ "ผ่าน" กับ "ไม่ผ่าน" เท่านั้น
2.การทดสอบความถนัดและวิภาววิสัย
เป็นการทดสอบสมอง ความจำ ความรุ้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของบุคคลครับ อาจเป็นแบบทดสอบบางอย่าง คำถามวกไปวนมาบ้าง แอดมินขอแนะนำว่า อย่าไปเครียดมากกับแบบทดสอบอย่างนี้ครับ ทำใจให้สบาย ๆ ไม่เครียด ไม่ซีเรียส ไม่คิดมาก เห็นอย่างไรตอบไปอย่างนั้น ข้อสอบแบบนี้แอดมินเคยเจอมาแล้วทั้งการสอบเข้าเตรียมทหาร และการสอบเป็นนักบิน ขอบอกว่าการสอบเป็นนักบิน ทำแบบทดสอบปวดหัวกว่ามากครับ เพราะงั้นข้อสอบสำหรับเด็กสอบเข้าเตรียมทหารมันจะไม่ซีเรียสขนาดนั้น ทำใจให้สบาย ๆ ไม่ต้องคิดซับซ้อนครับ พักผ่อนเยอะ ๆ และการตัดสินการสอบวิภาววิสัย คือ "ผ่าน" กับ "ไม่ผ่าน" เท่านั้นนะครับ
3.การสอบพลศึกษา
การสอบพลศึกษานี้เป็นด่านสำคัญเหมือนกันในการฟันฝ่าเข้าสู่รอบสุดท้าย บางคนซ้อมมาดี แต่วันจริงระงับความตื่นเต้นไม่ไหว ทำได้น้อยกว่าที่ซ้อมมาก็มีเยอะ บางคนไม่ได้ซ้อมมาแล้วเหนื่อยหอบแฮ่ก ๆ ผ่านบ้าง ตกบ้างก็เยอะ อย่างที่แอดมินแนะนำไปนะครับ ซ้อมร่างกายไว้ก่อน เอาให้พออยู่ตัว แล้วมาเพิ่มความหนักหน่วงช่วงหลักจากสอบรอบแรกเสร็จ ส่วนการสอบพลศึกษาจะมีทั้งหมด 8 สถานี ดังนี้ครับ- ดึงข้อราวเดี่ยว ดึงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ โดยการคว่ำมือโหนราวเดี่ยว แล้วดึงตัวขึ้นให้คางพ้นราว จึงจะนับ 1 ครั้ง โดยห้ามเหวี่ยงตัว ห้ามตะเกียกตะกาย เดี๋ยวกรรมการจะไม่นับนะครับ เปลืองแรงเปล่า ๆ ตัวอย่างจากคลิปนะครับ
- วิ่งกลับตัว (วิ่งเก็บของ) โดยการวิ่งเก็บท่อนไม้ ซึ่งจะวางอยู่ในวงกลมสองวง ระยะห่างกัน 10 เมตร วงกลมวงแรกมีท่อนไม้อย่างอยู่ 2 อัน อีกวงไม่มีท่อนไม้ เมื่อได้รับสัญญาณ ก็หยิบท่อนไม้จากวงกลมแรกไปวางในวงกลมที่สอง แล้ววิ่งกลับมาหยิบท่อนไม้อีกอัน แล้ววิ่งไปที่วงกลมที่สอง แต่ไม่ต้องวางนะครับ วิ่งผ่านไปเลย ยิ่งวิ่งเร็วก็ยิ่งคะแนนเยอะ
- ลุกนั่ง (หรือซิตอัพนั่นแหละ) นอนหงายบนเบาะ แล้วทำการซิตอัพให้ซอกขึ้นมาแตะเข่า กรรมการจึงจะนับให้ 1 ครั้ง ทำให้มากที่สุดในเวลา 30 วินาทีนะครับ
- วิ่ง 50 เมตร ก็วิ่งให้เร็วที่สุดละกันนะครับ ภาษานักเรียนเหล่าเรียกว่า "ปล่อยม้า"
- ยืนกระโดดไกล ยืนนะครับ ไม่ใช่วิ่งมากระโดดไกล ยืนที่เส้นแล้วแกว่งตัว โดดไปให้ไกลที่สุดครับ
- นั่งงอตัว ก็คือการนั่งยืดขาตรงไปด้านหน้า แล้วก้มตัวเอามือยืนไปแตะปลายเท้าให้ไกลที่สุด ยิ่งมือเลยปลายเท้าไปมากเท่าไร คะแนนยิ่งมากครับ
- วิ่ง 1,000 เมตร หรือ 1 กม.นั่นแหละครับ อันเนี้ยแอดมินเหนื่อยสุดเลยครับ ขอบอก ตอนสอบนี่เล่นเอาลิ้นห้อยเลย แต่ก็ผ่านมาได้
ส่วนคะแนนแต่ละสถานีนี่ แต่ละเหล่าทัพกำหนดไว้ไม่เท่ากันครับ รายละเอียดสามารถดูได้จากระเบียบการรับสมัครสอบที่เราไปซื้อมาครับ
4.การสัมภาษณ์ท่วงทีวาจาและความเหมาะสม
อันนี้เป็นการสอบที่หลาย ๆ คนกลัว เพราะว่าไม่รู้ว่ากรรมการจะถามอะไร จะพบเจอกรรมการแบบไหน แต่แอดมินขอเสนอว่าไม่ต้องกังวลครับ ทำใจให้สบาย พักผ่อนให้เต็มที่ กรรมการท่านถามอะไรมาก็ตอบไปแบบนั้น บางอย่างมั่วก็ได้ครับ ไม่ต้องเอาถูกเป๊ะ เช่น ถามเรื่องทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับการเรียนของเรา ชีวิตประจำวัน แนวคิด ทัศนคติ แต่ก็ไม่ใช่ว่านอนรอสบายใจก่อนไปสอบสัมภาษณ์นะครับ ความรู้ทางทหารเบื้องต้นก็ควรจะมีบ้าง เช่นรายชื่อ ผบ.ทบ. ผบ.ทหารสูงสุด ไรเงี้ย หรือไม่ก็ชื่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงเนี่ย ควรจะทราบเอาไว้บ้าง หรือข่าวสารบ้านเมือง อ่านเอาคร่าว ๆ พอครับ ไม่ต้องทุกตัวหนังสือในหนังสือพิมพ์ เลือกเฉพาะข่าวเด่น ๆ ก็พอ
เวลากรรมการท่านสั่งอะไรก็ขอให้ปฏิบัติตามโดยเร็วครับ องอาจผึ่งผาย เสียงดังฟังชัด แสดงถึงความมั่นใจ จะมาเป็นทหารแล้ว มาหงอยได้ยังไง จริงไหมครับ ตั้งสติให้ดี อย่าลนลาน ชิล ๆ ครับ แนะนำไว้ก่อน การตรวจโรคและการสอบสัมภาษณ์นี่ มีแก้ผ้าแน่นอนครับ แต่ไม่ต้องอาย กรรมการก็ผู้ชายทั้งนั้น หัดแก้ผ้าไว ๆ ไว้ครับ 555 ต่อไปก็เป็นคลิปแนะนำการสอบสัมภาษณ์ของเหล่า ทบ.นะครับ
เวลากรรมการท่านสั่งอะไรก็ขอให้ปฏิบัติตามโดยเร็วครับ องอาจผึ่งผาย เสียงดังฟังชัด แสดงถึงความมั่นใจ จะมาเป็นทหารแล้ว มาหงอยได้ยังไง จริงไหมครับ ตั้งสติให้ดี อย่าลนลาน ชิล ๆ ครับ แนะนำไว้ก่อน การตรวจโรคและการสอบสัมภาษณ์นี่ มีแก้ผ้าแน่นอนครับ แต่ไม่ต้องอาย กรรมการก็ผู้ชายทั้งนั้น หัดแก้ผ้าไว ๆ ไว้ครับ 555 ต่อไปก็เป็นคลิปแนะนำการสอบสัมภาษณ์ของเหล่า ทบ.นะครับ
เมื่อผ่านการสอบเหล่านี้แล้ว สุดท้ายก็รอลุ้นกันอีกทีล่ะครับ ว่าการประกาศรายชื่อผู้สอบผ่านรอบสุดท้ายนั้น จะมีชื่อเราติดหรือเปล่า แอดมินขอแชร์ประสบการณ์ของตัวเองนะครับ การพบว่ามีชื่อตนเองสอบติดแล้วมันเป็นความรู้สึกที่ไม่มีวันลืมเลยครับ เนื่องจากแอดมินเหนื่อยมากตอนเตรียมตัวอ่านหนังสือ ก็เลยอยากให้กำลังใจน้อง ๆ ทุกคนให้ฟันฝ่ามันไปให้ได้ ขอฝากคำคมไว้นิดนึงนะครับ "คนไม่เคยลำบาก ขึ้นไปอยู่บนที่สูงไม่ได้"
สำหรับตอนหน้า แอดมินจะมาเล่าเกี่ยวกับเทคนิคการเรียนกวดวิชาให้ได้ดี คาดว่าหลาย ๆ คนคงเริ่มมองหาที่เรียนพิเศษกันแล้ว ยังไง ๆ ก็ลองเอาเทคนิคจากแอดมินไปใช้นะครับ
วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555
หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ : กว่าจะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหาร ตอนที่ 1
การจะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้น ไม่ใช่ว่าแค่คิดอยากเป็น ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อ่านหนังสือก๊อก ๆ แก๊ก ๆ แล้วก็ไปสอบ อย่าไปหวังว่าจะได้เลยนะครับ เพราะการสอบเตรียมทหารนั้น เป็นหารสอบที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง จำนวนคนสอบหลักหมื่น เทียบกับจำนวนผู้ที่ได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารจริง ๆ นั้นมีเพียงหลักร้อยเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ใครที่อยากสอบได้ แล้วกำลังรู้สึกขี้เกียจอยู่ แอดมินแนะนำว่าควรรีบเตรียมตัวได้แล้วครับ จงยึดหลักที่ว่า "เวลาที่เรากำลังขี้เกียจ คู่แข่งของเรากำลังอ่านหนังสืออยู่" นะครับ
จากประสบการณ์ของแอดมินที่อยู่ในวงการนักเรียนเตรียมทหาร และนักเรียนเหล่ามาสิบกว่าปี ก็อยากจะมาแจกแจงถึงลำดับขั้นตอนต่าง ๆ ในการสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ไม่ว่าจะเหล่าใดก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน ซึ่งโดยภาพรวมแล้วก็พอจะสรุปได้ดังนี้ครับ
1. การสอบภาควิชาการ
2. การสอบรอบสอง
เห็นมีแค่ 2 รอบเอง อย่านึกว่าหมูนะครับ เพราะรายละเอียดปลีกย่อยมันค่อนข้างเยอะทีเดียว ซึ่งแอดมินคิดว่าสิ่งที่สำคัญสุด ๆ ไปเลยก็คือ ต้องผ่านรอบแรกไปให้ได้ก่อน ไม่ใช่ว่าการสอบรอบสองไม่สำคัญนะ สำคัญเช่นเดียวกัน แต่ถ้าเตรียมร่างกายไปสอบรอบสองให้ดียังไง ถ้าสอบรอบแรกไม่ผ่านมันก็ไม่มีผลอะไรนะครับ
1.การสอบภาควิชาการ
จะเรียกว่าเป็นการสอบที่หินมาก ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะจะมีคู่แข่งเยอะมาก ซึ่งแต่ละคนก็สมัคร 4 เหล่ากันเป็นซะส่วนใหญ่ ตอนที่แอดมินไปสอบเหล่านึง ก็เจอคู่แข่งนี่แหละ พอไปสอบอีกเหล่านึง ก็เจอแต่หน้าเดิม ๆ วนเวียนไปมา ซึ่งคนที่ยึดคติว่าสอบทั้ง 4 เหล่านี่มักจะคิดเหมือน ๆ กันก็คือ "ติดเหล่าไหนก็เอาเหล่านั้น" จำนวนคนสอบมันเลยเยอะน่ะครับ
ทีนี้เนื้อหาที่ใช้ในการสอบภาควิชาการล่ะ มันมีอะไรบ้าง กี่ปี ๆ ก็เหมือนเดิมครับ จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง วิชาที่ใช้สอบก็เป็นวิชาหลัก ๆ ที่เรียนกันอยู่ใน ม.ต้น หรืออาจมีบางข้ออยู่ในม.ปลายบ้าง ก็คือ
จากประสบการณ์ของแอดมินที่อยู่ในวงการนักเรียนเตรียมทหาร และนักเรียนเหล่ามาสิบกว่าปี ก็อยากจะมาแจกแจงถึงลำดับขั้นตอนต่าง ๆ ในการสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ไม่ว่าจะเหล่าใดก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน ซึ่งโดยภาพรวมแล้วก็พอจะสรุปได้ดังนี้ครับ
1. การสอบภาควิชาการ
2. การสอบรอบสอง
เห็นมีแค่ 2 รอบเอง อย่านึกว่าหมูนะครับ เพราะรายละเอียดปลีกย่อยมันค่อนข้างเยอะทีเดียว ซึ่งแอดมินคิดว่าสิ่งที่สำคัญสุด ๆ ไปเลยก็คือ ต้องผ่านรอบแรกไปให้ได้ก่อน ไม่ใช่ว่าการสอบรอบสองไม่สำคัญนะ สำคัญเช่นเดียวกัน แต่ถ้าเตรียมร่างกายไปสอบรอบสองให้ดียังไง ถ้าสอบรอบแรกไม่ผ่านมันก็ไม่มีผลอะไรนะครับ
1.การสอบภาควิชาการ
จะเรียกว่าเป็นการสอบที่หินมาก ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะจะมีคู่แข่งเยอะมาก ซึ่งแต่ละคนก็สมัคร 4 เหล่ากันเป็นซะส่วนใหญ่ ตอนที่แอดมินไปสอบเหล่านึง ก็เจอคู่แข่งนี่แหละ พอไปสอบอีกเหล่านึง ก็เจอแต่หน้าเดิม ๆ วนเวียนไปมา ซึ่งคนที่ยึดคติว่าสอบทั้ง 4 เหล่านี่มักจะคิดเหมือน ๆ กันก็คือ "ติดเหล่าไหนก็เอาเหล่านั้น" จำนวนคนสอบมันเลยเยอะน่ะครับ
ทีนี้เนื้อหาที่ใช้ในการสอบภาควิชาการล่ะ มันมีอะไรบ้าง กี่ปี ๆ ก็เหมือนเดิมครับ จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง วิชาที่ใช้สอบก็เป็นวิชาหลัก ๆ ที่เรียนกันอยู่ใน ม.ต้น หรืออาจมีบางข้ออยู่ในม.ปลายบ้าง ก็คือ
- คณิตศาสตร์
- วิทยาศาสตร์
- ภาษาอังกฤษ
- ภาษาไทยและสังคมศึกษา (รวม 2 วิชานี้เป็นหนึ่งเดียวกัน)
จากระเบียบการที่แอดมินได้ผ่านตามา โรงเรียนเหล่าทัพจะเน้นคะแนนไปที่คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ส่วนวิชาภาษาอังกฤษคะแนนจะลดหลั่นลงมา และน้อยที่สุดคือวิชาภาษาไทยและสังคมศึกษา เพราะฉะนั้นหลักง่าย ๆ ก็คือ ควรฟิตอ่านหนังสือโดยเน้นไปที่วิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นหลัก แต่ก็ไม่ควรทิ้งอีกสองวิชาที่เหลือด้วยนะครับ
คะแนนรวมของการสอบภาควิชาการจะมีอยู่ 700 คะแนน ซึ่งแค่วิชาคณิตศาสตร์+วิทยาศาสตร์ คะแนนรวมก็ปาเข้าไป 400 คะแนนแล้ว ดีไม่ดีมากกว่านี้อีก (เหล่าทหารเรือ คณิต 220 วิทย์ 220) ส่วนคะแนนที่เหลือก็ภาษาอังกฤษรวมกับภาษาไทยและสังคมศึกษาอีก 300 คะแนน (เหล่าทหารเรือ อังกฤษ 160 ภาษาไทยและสังคมศึกษา 100)
สำหรับรายละเอียดเนื้อหาที่ใช้ในการสอบนั้น มีค่อนข้างกว้าง คือ ม.ต้นทั้งหมดนั่นแหละครับ ซึ่งจะเน้นหนักไปที่ชั้น ม.3 แต่ก็ไม่สามารถทิ้งเนื้อหา ม.1-2 ไปได้ เพราะนั่นคือพื้นฐานของชั้น ม.3 ใครสนใจก็สามารถไปซื้อหนังสือสรุปเนื้อหาการสอบเข้าเตรียมทหารมาศึกษาได้ครับ ซึ่งบางเล่มก็จะมีทั้งการสรุปเนื้อหา ข้อสอบเก่าและเฉลย บางเล่มก็มีแต่ข้อสอบเก่า+เฉลยอย่างเดียว ลองเลือกหาเล่มที่ถูกใจมาอ่านและหัดทำข้อสอบเก่ากันครับ
สถานที่ที่ใช้สอบ
ทางโรงเรียนเหล่าทัพกำหนดสถานที่สอบไว้ดังนี้ครับ
- โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ใช้ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ศูนย์รังสิต) มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต (พัฒนาการ) และมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร
- โรงเรียนนายเรือ ใช้ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (บางนา)
- โรงเรียนนายเรืออากาศ ใช้ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต)
- โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ใช้ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก) และมหาวิทยาลัยรามคำแหง(บางนา)
- ส่วนรายละเอียดวันสอบ สามารถอ่านได้ที่ อยากเป็นนายร้อยต้องรู้อะไรบ้าง ตอนที่ 2 ครับ
คำแนะนำในวันสอบ
จากประสบการณ์ของแอดมิน ที่ใช้เวลาในการสอบถึง 2 ปี กว่าจะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหาร ขอให้คำแนะนำดังนี้ครับ
- คืนก่อนสอบเข้านอนแต่หัวค่ำ สมองจะได้ปลอดโปร่ง เตรียมสู้ศึกหนักในวันพรุ่งนี้
- ไปถึงสนามสอบก่อนเวลา ขี้หมูขี้หมาเลยนี่อย่างน้อย สัก 3 ชั่วโมงนะครับ จะได้มีเวลาเดินดูสถานที่ ผังห้องสอบ (ส่วนโต๊ะสอบเขาไม่ให้ดูหรอกครับ ดูได้แต่แผนผังที่จัดไว้ เพื่อเป็นการป้องกันการทุจริต) มีเวลาเข้าห้องน้ำห้องส้วม และทานข้าว
- รับประทานอาหาร และขับถ่ายเบา-หนัก ให้เรียบร้อย เนื่องจากเป็นการสอบที่ใช้เวลานาน ไม่ต่ำกว่า "ครึ่งวัน" เพราะฉะนั้นควรรับประทานอาหารก่อน ให้พออยู่ท้อง แต่ไม่ต้องอิ่มจนแน่นนะครับ ระหว่างทำการสอบ จนท.จะไม่อนุญาตให้ออกจากห้องสอบก่อนเวลา เว้นแต่เข้าห้องน้ำห้องส้วม ซึ่งก็จะมีเจ้าหน้าที่(นักเรียนเหล่านั้นแหละ) ติดตามไปด้วย และค้นร่างกายทุกครั้งหลังเข้าและออกห้องน้ำ
- เตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียนไปให้เพียงพอ ไม่มีการให้หยิบยืมกันนะครับ
- ไม่ควรพกของมีค่ามากเกินไป เพราะวันสอบมีจำนวนคนมาก แค่นักเรียนที่มาสอบก็หลักหมื่นแล้ว ยังไม่รวมผู้ปกครองและญาติสนิทมิตรสหายของนักเรียนอีกด้วย หากเกิดการสูญหายแล้วจะหายากนะครับ
- อย่าทุจริตในการสอบเด็ดขาด อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนะครับ
- อย่าหลงเชื่อบุคคลที่แอบอ้างว่ารู้จักคนใหญ่คนโต สามารถวิ่งเต้นให้สอบได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย(จำนวนมาก) ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเองครับ ลูกชาวนาชาวไร่ชาวสวนสอบติดเยอะแยะไป เพื่อนแอดมินหลาย ๆ คนที่บ้านเขาก็ทำนาครับ
เคล็ดลับในการเตรียมตัวสอบ
จากประสบการณ์ที่แอดมินเคยสอนกวดวิชาเข้าเตรียมทหารมา ขอสรุปให้สั้น ๆ ดังนี้นะครับ ส่วนรายละเอียดว่าทำอย่างไรบ้าง เดี๋ยวจะมาอธิบายให้ในตอนต่อ ๆ ไปครับ
- เตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ ยิ่งเตรียมตัวเร็วตั้งแต่ ม.1 เลยยิ่งดีครับ เพราะความรู้ยิ่งแน่นยิ่งได้เปรียบ จากประสบการณ์โดยตรงที่แอดมินพบมา ไม่เคยเห็นนักเรียนคนไหนที่เพิ่งจะมาเตรียมตัวเอาตอนเรียนกวดวิชาเดือนมีนาคมก่อนสอบแล้วสอบติดเลย (ถ้าไม่ใช่คนหัวไบรท์จริง) ความจริงของโลกใบนี้ก็คือ คนเก่งแพ้คนขยันครับ
- ทำข้อสอบเก่ามาก ๆ ยิ่งทำมากยิ่งได้เปรียบมาก ทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ยิ่งดีครับ ข้อสอบเตรียมทหารหลักสูตรที่รับนักเรียน ม.3 เริ่มเมื่อปี 2547 นะครับ สมมติว่าเหล่าละ 200 ข้อ 4 เหล่าก็เป็น 800 ข้อ ผ่านมา 7 ปีแล้ว ก็เป็น 5,600 ข้อ ใครอ่านใครหัดทำ 5,600 ข้อนี้ได้หมดแล้ว แอดมินรับรองว่าสอบได้แน่นอนครับ
- รักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ไม่ใช่เฉพาะด้านวิชาการอย่างเดียวนะครับ ยังมีการสอบพละ ตรวจโรคตรวจร่างกาย สัมภาษณ์ ทดสอบสุขภาพจิตอีกด้วยครับ
เป็นยังไงบ้างครับ นี่เพียงแค่ข้อแรกนะครับ รายละเอียดยังขนาดนี้ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ครับ แอดมินก็เคยผ่านจุดนี้มา ขอรับรองว่า ถ้ามีความตั้งใจจริง เราต้องทำได้แน่นอนครับ สำหรับตอนนี้ แอดมินจะมาสาธยายการสอบในรอบที่ 2 ให้รับทราบกันนะครับ แล้วคุณจะได้รู้ว่า "หนทางมันไม่ได้โรยด้วยกลับกุหลาบ" จริง ๆ ครับ
วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555
อยากเป็นนายร้อยต้องรู้อะไรบ้าง? ตอน2
จากตอนที่แล้วที่ได้กล่าวไปถึงข้อ 1 นั่นก็คือต้องรู้จักโรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจกันไปเบื้องต้นแล้ว ตอนนี้ก็มาถึงข้อ 2 ครับ นั่นคือ รู้คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สอบเข้า
2.คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สอบเข้า
จากประสบการณ์ของผมเอง ซึ่งเคยเป็นทั้งคนสอบ มาเป็นคนสอนกวดวิชา รวมถึงเคยพานักเรียนไปสมัครสอบนั้น แต่ละโรงเรียนเหล่าทัพจะมีประกาศรับสมัครสอบออกมาในช่วงปลายเดือนธันวาคมจนถึงต้นเดือนมกราคมของทุกปี แต่ละเหล่านั้นจะกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สมัครสอบนั้นเหมือน ๆ กัน ซึ่งแอดมินพอจะสรุปคุณสมบัติสำคัญ ๆ ได้ดังนี้
2.1 เป็นชายโสด จบการศึกษาชั้น ม.3 หรือเทียบเท่า อันนี้หมายความถึง กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.3 ก็ได้ ซึ่งหากกำลังศึกษาอยู่ การสมัครสอบนั้นต้องแนบใบรับรองจากโรงเรียนด้วยว่ากำลังศึกษาอยู่ (ติดต่อขอรับได้จากฝ่ายธุรการเลยครับ)
2.2 อายุไม่ต่ำกว่า 14 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 17 ปีบริบูรณ์ โดยหลักการนับอายุจะไม่ดูวันเดือนที่เกิด จะดูเฉพาะปี พ.ศ.อย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ.2555 นี้ ผู้ที่มีสิทธิ์สมัครสอบ จะต้องเกิด พ.ศ.2555-17 = พ.ศ.2538 จนถึง 2555-14 = พ.ศ.2541 เท่านั้น หมายความว่า นักเรียนชั้น ม.3-4-5-6 ที่เกิดตั้งแต่ 1 ม.ค.38 เป็นต้นมา สามารถสมัครสอบได้ครับ
2.3 มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด และบิดา-มารดามีสัญชาติไทยโดยกำเนิดด้วย ยกเว้นแต่บิดาเป็นนายทหารและนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรหรือชั้นประทวน มารดาจะไม่มีสัญชาติไทยโดยกำเนิดก็ได้
คุณสมบัติเบื้องต้นที่สำคัญมาก ๆ ก็มีดังที่กล่าวไปแล้วนะครับ ซึ่งรายละเอียดคุณสมบัติอื่น ๆ แต่ละเล่ากำหนดไว้แตกต่างกันเล็กน้อยมาก อย่างเช่น พิกัดน้ำหนักและส่วนสูง ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ผู้ที่สนใจสามารถดูได้จากระเบียบการใบสมัครสอบที่ไปซื้อได้ครับ ส่วนระเบียบการเบื้องต้นแอดมินได้รวบรวมไว้ให้ดาวน์โหลดกันไปได้เลยครับ ซึ่งขณะนี้ออกมาประกาศครั้งทั้ง 4 เหล่าแล้ว
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายเรือเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ ทร.ประจำปี 55
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายเรืออากาศเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ ทอ.ประจำปี 55
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายร้อยตำรวจเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ สตช.ประจำปี 55
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ ทบ.ประจำปี 55
ซึ่งปีนี้ รร.จปร.มีการรับสมัครทางอินเตอร์เน็ตด้วย ซึ่งเพิ่มเติมจากปีก่อน ๆ ที่รับสมัครทางไปรษณีย์และรับสมัครด้วยตนเอง
สำหรับการรับสมัครในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์จะเป็นการรับสมัครทางไปรษณีย์ ยกเว้นนายร้อยตำรวจซึ่งรับสมัครทางอินเตอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.เวลา 08.00 น. - วันที่ 2 มี.ค. เวลา 16.00น. ส่วนการไปสมัครสอบด้วยต้นเอง ทาง 3 เหล่าที่เหลือได้กำหนดไว้วันที่ 9-14 มีนาคมที่โรงเรียนนายเรืออากาศ ดอนเมืองครับผม
สำหรับการสอบรอบแรก (ภาควิชาการ) ทั้ง 3 เหล่าได้ประกาศออกมาแล้ว มีดังนี้ครับ
เห็นไหมล่ะครับ การจะเดินทางตามความฝันนั้นมันไม่ง่ายเลย ต้องใช้ความตั้งใจอุตสาหะและกำลังใจเป็นอย่างมากกว่าจะผ่านไปยังเส้นทางที่ตนเองฝันได้ แต่มันก็ไม่ไกลเกินจริงหรอกครับ สุดท้ายนี้ผมไปเจอคลิปนึงในยูทู๊ป เกี่ยวกับเส้นทางการสอบเข้าเตรียมทหาร ใครสนใจก็ดูไว้เป็นกำลังใจกันนะครับ
2.คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สอบเข้า
จากประสบการณ์ของผมเอง ซึ่งเคยเป็นทั้งคนสอบ มาเป็นคนสอนกวดวิชา รวมถึงเคยพานักเรียนไปสมัครสอบนั้น แต่ละโรงเรียนเหล่าทัพจะมีประกาศรับสมัครสอบออกมาในช่วงปลายเดือนธันวาคมจนถึงต้นเดือนมกราคมของทุกปี แต่ละเหล่านั้นจะกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สมัครสอบนั้นเหมือน ๆ กัน ซึ่งแอดมินพอจะสรุปคุณสมบัติสำคัญ ๆ ได้ดังนี้
2.1 เป็นชายโสด จบการศึกษาชั้น ม.3 หรือเทียบเท่า อันนี้หมายความถึง กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.3 ก็ได้ ซึ่งหากกำลังศึกษาอยู่ การสมัครสอบนั้นต้องแนบใบรับรองจากโรงเรียนด้วยว่ากำลังศึกษาอยู่ (ติดต่อขอรับได้จากฝ่ายธุรการเลยครับ)
2.2 อายุไม่ต่ำกว่า 14 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 17 ปีบริบูรณ์ โดยหลักการนับอายุจะไม่ดูวันเดือนที่เกิด จะดูเฉพาะปี พ.ศ.อย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ.2555 นี้ ผู้ที่มีสิทธิ์สมัครสอบ จะต้องเกิด พ.ศ.2555-17 = พ.ศ.2538 จนถึง 2555-14 = พ.ศ.2541 เท่านั้น หมายความว่า นักเรียนชั้น ม.3-4-5-6 ที่เกิดตั้งแต่ 1 ม.ค.38 เป็นต้นมา สามารถสมัครสอบได้ครับ
2.3 มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด และบิดา-มารดามีสัญชาติไทยโดยกำเนิดด้วย ยกเว้นแต่บิดาเป็นนายทหารและนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรหรือชั้นประทวน มารดาจะไม่มีสัญชาติไทยโดยกำเนิดก็ได้
คุณสมบัติเบื้องต้นที่สำคัญมาก ๆ ก็มีดังที่กล่าวไปแล้วนะครับ ซึ่งรายละเอียดคุณสมบัติอื่น ๆ แต่ละเล่ากำหนดไว้แตกต่างกันเล็กน้อยมาก อย่างเช่น พิกัดน้ำหนักและส่วนสูง ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ผู้ที่สนใจสามารถดูได้จากระเบียบการใบสมัครสอบที่ไปซื้อได้ครับ ส่วนระเบียบการเบื้องต้นแอดมินได้รวบรวมไว้ให้ดาวน์โหลดกันไปได้เลยครับ ซึ่งขณะนี้ออกมาประกาศครั้งทั้ง 4 เหล่าแล้ว
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายเรือเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ ทร.ประจำปี 55
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายเรืออากาศเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ ทอ.ประจำปี 55
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายร้อยตำรวจเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ สตช.ประจำปี 55
คลิกเพื่อดาวน์โหลด ประกาศโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเรื่องรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ ทบ.ประจำปี 55
ซึ่งปีนี้ รร.จปร.มีการรับสมัครทางอินเตอร์เน็ตด้วย ซึ่งเพิ่มเติมจากปีก่อน ๆ ที่รับสมัครทางไปรษณีย์และรับสมัครด้วยตนเอง
สำหรับการรับสมัครในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์จะเป็นการรับสมัครทางไปรษณีย์ ยกเว้นนายร้อยตำรวจซึ่งรับสมัครทางอินเตอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.เวลา 08.00 น. - วันที่ 2 มี.ค. เวลา 16.00น. ส่วนการไปสมัครสอบด้วยต้นเอง ทาง 3 เหล่าที่เหลือได้กำหนดไว้วันที่ 9-14 มีนาคมที่โรงเรียนนายเรืออากาศ ดอนเมืองครับผม
สำหรับการสอบรอบแรก (ภาควิชาการ) ทั้ง 3 เหล่าได้ประกาศออกมาแล้ว มีดังนี้ครับ
- 1 เม.ย. สอบนายเรืออากาศ
- 2 เม.ย. สอบนายร้อย จปร.
- 5 เม.ย. สอบนายเรือ
- 6 เม.ย. สอบนายร้อยตำรวจ
- ประกาศผลสอบทางอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.54
- ประกาศผลสอบอย่างเป็นทางการและรายงานตัว 17 เม.ย.54 ที่โรงเรียนนายเรืออากาศ
เห็นไหมล่ะครับ การจะเดินทางตามความฝันนั้นมันไม่ง่ายเลย ต้องใช้ความตั้งใจอุตสาหะและกำลังใจเป็นอย่างมากกว่าจะผ่านไปยังเส้นทางที่ตนเองฝันได้ แต่มันก็ไม่ไกลเกินจริงหรอกครับ สุดท้ายนี้ผมไปเจอคลิปนึงในยูทู๊ป เกี่ยวกับเส้นทางการสอบเข้าเตรียมทหาร ใครสนใจก็ดูไว้เป็นกำลังใจกันนะครับ
สำหรับในตอนหน้า ผมจะมาแจกแจงว่า การสอบแต่ละรอบนั้น มันมีอะไรบ้างครับ ไม่ว่าจะเป็นภาควิชาการ หรือการตรวจโรค ตรวจร่างกาย สัมภาษณ์ พร้อมแทรกประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆของตัวเองลงไปด้วย อย่าลืมติดตามอ่านกันนะครับ
วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555
อยากเป็นนายร้อยต้องรู้อะไรบ้าง?
คงมีเด็กวัยรุ่นอีกจำนวนไม่น้อยที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเรียนเตรียมทหาร นักเรียนนายร้อย นักเรียนนายเรือ นักเรียนนายเรืออากาศ และนักเรียนนายร้อยตำรวจ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป ไม่ว่าจะเป็นเพราะอยากใส่เครื่องแบบบ้าง (ประมาณว่ามันเท่ห์) อยากทำงานรับราชการเป็นทหารตำรวจบ้าง อยากรับใช้ชาติบ้าง หรืออาจจะเคยดูหนังสงครามแล้วเกิดความประทับใจอยากเป็นทหาร อยากขับรถถัง อยากขับเครื่องบิน อยากนั่งเรือรบ หรืออยากเป็นตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เหมือนพระเอกละครบ้างก็สุดแท้แต่ หรือบางเหตุผลก็มาจากคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกทำงานรับราชการที่มีความมั่นคง เพื่อตัวเองจะได้หายห่วงหายกังวลถึงอนาคตของลูกก็มีนะครับ
จากประสบการณ์ของตัวแอดมินเอง ที่เคยผ่านประสบการณ์เป็นนักเรียนมัธยมที่คร่ำเคร่งอ่านหนังสือสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย จนสอบไม่ติดในปีแรก แล้วมาสอบติดในปีถัดมา จนมาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร 2 ปี นักเรียนนายร้อย จปร. 5 ปี (หลักสูตรปัจจุบัน เตรียมทหาร 3 ปี จปร.4 ปี) จนถึงปัจจุบัน (ม.ค.55) แอดมินเรียนจบแล้วรับราชการมา 6 ปีแล้วครับ ระหว่างที่เป็นนักเรียนเตรียมทหารก็เคยไปช่วยคุมเด็กนักเรียนตามค่ายติวกวดวิชาต่าง ๆ จนกระทั่งผันตัวมาสอนเองบ้าง ก็ได้พบเจอประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งจากตัวเด็กนักเรียนมัธยมเอง และจากผู้ปกครองที่ยังไม่ทราบข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปก็ยังมีคำถามเดิมที่แอดมินจะคอยตอบและให้คำปรึกษาอยู่เสมอ ๆ เนื่องจากตัวเด็กและผู้ปกครองบางคนไม่รู้เลยว่าอยากเป็นนายร้อยต้องทำอย่างไร กว่าจะได้เตรียมพร้อมหรือเตรียมตัวก็สายเสียแล้ว ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเปล่า ๆ ตั้งนานจนเลยกำหนดที่จะสอบได้ แอดมินจึงได้ประมวลประสบการณ์ที่พบเจอมาถ่ายทอดให้ผู้ที่สนใจได้รับทราบกันครับว่า "อยากเป็นนายร้อยต้องรู้อะไรบ้าง?" ก็มีดังนี้ครับ
1.รู้จักโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนเหล่าทัพ
2.รู้คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สอบเข้า
1.รู้จักโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนเหล่าทัพ
1.1 โรงเรียนเตรียมทหาร ตั้งอยู่ที่ ต.ศรีกะอาง อ.บ้านนา จ.นครนายกครับ ถามว่าโรงเรียนนี้ทำอะไร ก็ตามชื่อโรงเรียนนั่นแหละครับ ว่าเตรียมทหาร ผู้ที่จะผ่านไปเป็นนักเรียนนายร้อย 4 เหล่าล้วนต้องผ่านโรงเรียนเตรียมทหารก่อน (ยกเว้นนักเรียนจ่าอากาศและจ่าทหารเรือ ที่คัดนักเรียนผลการเรียนดีเยี่ยมไปศึกษาต่อยังโรงเรียนนายเรือ และนายเรืออากาศได้เลย ส่วนโรงเรียนนายร้อยตำรวจจะมีโควต้าให้นักเรียนพลตำรวจสอบเข้าศึกษาต่อยังโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้เลย)
โรงเรียนเตรียมทหารมีแต่นักเรียนชายนะครับ นักเรียนหญิงไม่รับ โดยจะให้การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสายวิทย์-คณิต (ม.4-ม.6) และฝึกอบรม ปลูกฝังนิสัย อุปนิสัย วินัย จิตวิทยาและการนำทหาร พลศึกษา วิชาทหาร-ตำรวจเบื้องต้น เพื่อให้มีลักษณะเป็นนายทหารนายตำรวจสัญญาบัตรที่ดี เรียกง่าย ๆ ว่าการฝึกทหารนั่นแหละครับ แต่เป็นเพียงระดับเบื้องต้นเท่านั้นเอง เพราะนักเรียนเองก็ยังเด็กอยู่ และเมื่อนักเรียนเตรียมทหารจบการศึกษา 3 ปีแล้ว (เทียบเท่า ม.6) ก็จะถูกส่งตัวไปศึกษาต่อยังโรงเรียนเหล่าทัพโดยอัตโนมัติ หมายความว่า ไม่ต้องสอบอีกแล้ว แต่ต้องเรียนให้ผ่านตามกฎข้อบังคับของโรงเรียนเตรียมทหาร นั่นคือเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.00 และไม่มีรายวิชาใดที่ติด F อยู่ ถ้าติด F ต้องรีบแก้ให้ผ่านไม่งั้นซ้ำชั้นไม่รู้ด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับโรงเรียนเตรียมทหารเพิ่มเติมสามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์โรงเรียนเตรียมทหารได้ที่นี่เลยครับ เว็บไซต์โรงเรียนเตรียมทหาร
นักเรียนนายร้อย จะเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรปริญญาตรี รวมถึงการฝึก ศึกษาวิชาทหารในด้านต่าง ๆ ตามภารกิจของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าที่ว่า
1.4 โรงเรียนนายเรืออากาศ หรือนายร้อยทหารอากาศนั่นแหละครับ ตั้งอยู่ที่ถนนพหลโยธิน ดอนเมือง กรุงเทพฯนี่เอง เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาหลักของกองทัพอากาศเลย ใครที่ขับรถผ่านเส้นพหลจากสะพานใหม่ตรงไปคงเคยเห็นบ้าง อยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลภูมิพลนัก แน่นอนครับ โรงเรียนนายเรืออากาศจะรับสมัครผู้มีคุณสมบัติตรงกับโรงเรียนนายร้อยและโรงเรียนนายเรือ เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพอากาศเช่นกัน แล้วคัดเลือกผู้ที่สอบได้ ไปเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร 3 ปี เมื่อจบเตรียมทหารแล้วจะเข้าศึกษาต่อยังโรงเรียนนายเรือกอากาศโดยอัตโนมัติ เป็นเวลา 4 ปี โดยจะได้รับการฝึกอบรม ทั้งวิชาการและวิชาทหาร เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะประดับยศเรืออากาศตรี รับปริญญาตามสาขาที่ตนเลือกเรียน รับพระราชทานกระบี่ และบรรจุเข้าเป็นนายทหารสัญญาบัตรของกองทัพอากาศต่อไป ข้อมูลเพิ่มเติมที่ เว็บไซต์โรงเรียนนายเรืออากาศ
จากประสบการณ์ของตัวแอดมินเอง ที่เคยผ่านประสบการณ์เป็นนักเรียนมัธยมที่คร่ำเคร่งอ่านหนังสือสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย จนสอบไม่ติดในปีแรก แล้วมาสอบติดในปีถัดมา จนมาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร 2 ปี นักเรียนนายร้อย จปร. 5 ปี (หลักสูตรปัจจุบัน เตรียมทหาร 3 ปี จปร.4 ปี) จนถึงปัจจุบัน (ม.ค.55) แอดมินเรียนจบแล้วรับราชการมา 6 ปีแล้วครับ ระหว่างที่เป็นนักเรียนเตรียมทหารก็เคยไปช่วยคุมเด็กนักเรียนตามค่ายติวกวดวิชาต่าง ๆ จนกระทั่งผันตัวมาสอนเองบ้าง ก็ได้พบเจอประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งจากตัวเด็กนักเรียนมัธยมเอง และจากผู้ปกครองที่ยังไม่ทราบข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปก็ยังมีคำถามเดิมที่แอดมินจะคอยตอบและให้คำปรึกษาอยู่เสมอ ๆ เนื่องจากตัวเด็กและผู้ปกครองบางคนไม่รู้เลยว่าอยากเป็นนายร้อยต้องทำอย่างไร กว่าจะได้เตรียมพร้อมหรือเตรียมตัวก็สายเสียแล้ว ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเปล่า ๆ ตั้งนานจนเลยกำหนดที่จะสอบได้ แอดมินจึงได้ประมวลประสบการณ์ที่พบเจอมาถ่ายทอดให้ผู้ที่สนใจได้รับทราบกันครับว่า "อยากเป็นนายร้อยต้องรู้อะไรบ้าง?" ก็มีดังนี้ครับ
1.รู้จักโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนเหล่าทัพ
2.รู้คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สอบเข้า
1.รู้จักโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนเหล่าทัพ
1.1 โรงเรียนเตรียมทหาร ตั้งอยู่ที่ ต.ศรีกะอาง อ.บ้านนา จ.นครนายกครับ ถามว่าโรงเรียนนี้ทำอะไร ก็ตามชื่อโรงเรียนนั่นแหละครับ ว่าเตรียมทหาร ผู้ที่จะผ่านไปเป็นนักเรียนนายร้อย 4 เหล่าล้วนต้องผ่านโรงเรียนเตรียมทหารก่อน (ยกเว้นนักเรียนจ่าอากาศและจ่าทหารเรือ ที่คัดนักเรียนผลการเรียนดีเยี่ยมไปศึกษาต่อยังโรงเรียนนายเรือ และนายเรืออากาศได้เลย ส่วนโรงเรียนนายร้อยตำรวจจะมีโควต้าให้นักเรียนพลตำรวจสอบเข้าศึกษาต่อยังโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้เลย)
โรงเรียนเตรียมทหารมีแต่นักเรียนชายนะครับ นักเรียนหญิงไม่รับ โดยจะให้การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสายวิทย์-คณิต (ม.4-ม.6) และฝึกอบรม ปลูกฝังนิสัย อุปนิสัย วินัย จิตวิทยาและการนำทหาร พลศึกษา วิชาทหาร-ตำรวจเบื้องต้น เพื่อให้มีลักษณะเป็นนายทหารนายตำรวจสัญญาบัตรที่ดี เรียกง่าย ๆ ว่าการฝึกทหารนั่นแหละครับ แต่เป็นเพียงระดับเบื้องต้นเท่านั้นเอง เพราะนักเรียนเองก็ยังเด็กอยู่ และเมื่อนักเรียนเตรียมทหารจบการศึกษา 3 ปีแล้ว (เทียบเท่า ม.6) ก็จะถูกส่งตัวไปศึกษาต่อยังโรงเรียนเหล่าทัพโดยอัตโนมัติ หมายความว่า ไม่ต้องสอบอีกแล้ว แต่ต้องเรียนให้ผ่านตามกฎข้อบังคับของโรงเรียนเตรียมทหาร นั่นคือเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.00 และไม่มีรายวิชาใดที่ติด F อยู่ ถ้าติด F ต้องรีบแก้ให้ผ่านไม่งั้นซ้ำชั้นไม่รู้ด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับโรงเรียนเตรียมทหารเพิ่มเติมสามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์โรงเรียนเตรียมทหารได้ที่นี่เลยครับ เว็บไซต์โรงเรียนเตรียมทหาร
ภาพนักเรียนเตรียมทหารครับ เครื่องแบบมีหลายชุด ส่วนอาคารด้านหลังคือกองบัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร เรียกกันสั้น ๆ ว่า "ตึกวาย" (Y) เพราะมองจากมุมสูงแล้วเหมือนตัวอักษร Y นั่นเอง
คลิปนี้แอดมินเสิร์ชหามาจากในยูทู๊ปครับ เป็นภาพประกอบเพลงผู้ชนะ ของเสก โลโซ ซึ่งอธิบายถึงความยากลำบากกว่าจะเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้ค่อนข้างดีครับ
เมื่อผ่านความยากลำบากกว่าจะสอบเข้าได้แล้ว คลิปต่อมาก็เป็นมาร์ขนักเรียนเตรียมทหารครับ
ซึ่งเป็นเพลงที่แอดมินเคยร้องทุกเช้าเวลา 05.30 น.เมื่อต้องออกวิ่งครับ วิ่งไป หลับไป ร้องเพลงไป
ยังทำได้เลยครับ 555
1.2 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เรียกกันสั้น ๆ ว่าโรงเรียนนายร้อย จปร.ครับ ตั้งอยู่ที่ ต.พรหมณี อ.เมือง จ.นครนายก ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนเตรียมทหารนั่นเอง ห่างกันประมาณ 5 กม.ได้ครับ รถยนต์ก็ประมาณ 10 นาที หรือจะเดินข้ามจากเขาคอก มาลงเขาชะโงกในโรงเรียนนายร้อยก็ได้ ใช้เวลาครึ่งวัน (ไม่ได้พูดเล่นนะครับ ผมเคยเดินจริง ๆ 555) ซึ่งเรื่องราวในโรงเรียนนายร้อยนี่แอดมินสามารถสาธยายได้ยาวหน่อยเพราะได้มาจากประสบการณ์จริง ซึ่งจะไว้เล่าในคราวต่อ ๆ ไปนะครับ
โรงเรียนนายร้อย จปร.จะทำการประกาศรับสมัครสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบก (เรียกกันสั้น ๆ ว่าเหล่า ทบ.) โดยรับนักเรียนที่มีวุฒิ ม.3 หรือเทียบเท่าและอายุอยู่ในช่วง 14-17 ปี เท่านั้น เมื่อคัดเลือกผู้ที่สอบผ่านได้ตามจำนวนที่กำหนดแล้วก็จะส่งนักเรียนไปศึกษายังโรงเรียนเตรียมทหารก่อน เมื่อนักเรียนเตรียมทหารที่จบจากชั้นปีที่ 3 มาแล้ว นักเรียนเตรียมทหารเหล่า ทบ.นี้ก็จะถูกส่งมาศึกษาต่อยังโรงเรียนนายร้อย จปร.โดยอัตโนมัติครับ ซึ่งต้องศึกษาต่ออีกอย่างน้อย 4 ปีจึงจะจบการศึกษาติดดาวยศร้อยตรีบนบ่าต่อไปครับ
นักเรียนนายร้อย จะเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรปริญญาตรี รวมถึงการฝึก ศึกษาวิชาทหารในด้านต่าง ๆ ตามภารกิจของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าที่ว่า
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า มีหน้าที่ให้การศึกษา อบรม และดำเนินการฝึกนักเรียนนายร้อย
มีผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นผู้บังคับบัญชา
รับผิดชอบปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาสำหรับนักเรียนนายร้อย
ให้มีความเหมาะสม ก้าวหน้า ทันสมัย และได้มาตรฐาน
รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการของกองทัพบก สถานการณ์ และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
มีผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นผู้บังคับบัญชา
รับผิดชอบปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรการศึกษาสำหรับนักเรียนนายร้อย
ให้มีความเหมาะสม ก้าวหน้า ทันสมัย และได้มาตรฐาน
รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการของกองทัพบก สถานการณ์ และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าแล้ว ก็จะได้ประดับยศร้อยตรี รับปริญญาบัตร โดยมีวุฒิการศึกษาปริญญาตรีตามสาขาที่ตนเลือกเรียน รับพระราชทานกระบี่ และได้บรรจุเข้ารับราชการในกองทัพบกต่อไปครับ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้จาก เว็บไซต์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
รูปภาพนักเรียนนายร้อยในเครื่องแบบชุดต่าง ๆ ครับ
คลิปรายการสยามเช้านี้เกี่ยวกับโรงเรียนนายร้อย จปร.ครับ ประกอบเพลงที่แอดมินต้องร้องขณะรวมแถววิ่งออกกำลังกายยามเช้ามืด (เช่นเคย) ใครที่อยากสอบเข้าได้ แนะนำให้ดูคลิปนี้ โดยเฉพาะในช่วงนาทีที่ 5:25 เป็นต้นไปนะครับ
1.3 โรงเรียนนายเรือ หรือให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าโรงเรียนนายร้อยทหารเรือนั่นแหละครับ มีปรัชญาคือ "แหล่งผลิตนายทหารเรือ อันเป็นรากแก้วของกองทัพเรือ" ตั้งอยู่ที่ ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของกองทัพเรือในระดับอุดมศึกษา โดยทำการรับสมัครผู้ที่มีคุณสมบัติเดียวกันกับที่โรงเรียนนายร้อย จปร.กำหนดนั่นแหละครับ เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพเรือ เมื่อคัดเลือกผุ้สมัครสอบผ่านได้แล้วก็จะส่งไปศึกษายังโรงเรียนเตรียมทหารเป็นเวลา 3 ปี เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะเข้าศึกษาต่อไปยังโรงเรียนนายเรือโดยอัตโนมัติ ซึ่งโรงเรียนนายเรือก็จะให้การศึกษาในระดับปริญญาตรีและฝึกอบรมให้แก่นักเรียนนายเรือ เป็นเวลา 4 ปี ให้เป็นนายทหารสัญญาบัตรหลักของกองทัพเรือต่อไปครับ
เมื่อจบการศึกษาชั้นปีที่ 4 แล้ว นักเรียนนายเรือก็จะประดับยศเรือตรี รับปริญญาบัตรตามสาขาที่ตนจบมา รับพระราชทานกระบี่และบรรจุเข้าทำงานในกองทัพเรือต่อไปครับ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถค้นหาจาก เว็บไซต์โรงเรียนนายเรือ
นักเรียนนายเรือในเครื่องแบบสีขาวสะอาดสุดเท่ห์
คลิปยูทู๊ปเพลงออกทะเลครับ ขออภัยเจ้าของคลิปด้วย แอดมินเห็นว่าภาพเยอะดีเลยเอามาเผยแพร่ต่อครับ
1.4 โรงเรียนนายเรืออากาศ หรือนายร้อยทหารอากาศนั่นแหละครับ ตั้งอยู่ที่ถนนพหลโยธิน ดอนเมือง กรุงเทพฯนี่เอง เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาหลักของกองทัพอากาศเลย ใครที่ขับรถผ่านเส้นพหลจากสะพานใหม่ตรงไปคงเคยเห็นบ้าง อยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลภูมิพลนัก แน่นอนครับ โรงเรียนนายเรืออากาศจะรับสมัครผู้มีคุณสมบัติตรงกับโรงเรียนนายร้อยและโรงเรียนนายเรือ เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพอากาศเช่นกัน แล้วคัดเลือกผู้ที่สอบได้ ไปเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร 3 ปี เมื่อจบเตรียมทหารแล้วจะเข้าศึกษาต่อยังโรงเรียนนายเรือกอากาศโดยอัตโนมัติ เป็นเวลา 4 ปี โดยจะได้รับการฝึกอบรม ทั้งวิชาการและวิชาทหาร เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะประดับยศเรืออากาศตรี รับปริญญาตามสาขาที่ตนเลือกเรียน รับพระราชทานกระบี่ และบรรจุเข้าเป็นนายทหารสัญญาบัตรของกองทัพอากาศต่อไป ข้อมูลเพิ่มเติมที่ เว็บไซต์โรงเรียนนายเรืออากาศ
นักเรียนนายเรืออากาศครับ หล่อ ๆ น่ากินกันทั้งนั้นเลย
คลิปนักเรียนนายเรืออากาศ รุ่นที่ 57 รุ่นน้องของแอดมินครับ (เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารของแอดมินเป็นนายเรืออากาศรุ่น 49)
1.5 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ตั้งอยู่ที่ อ.สามพราน จ.นครปฐมครับ (ตอน ม.4 แอดมินอกหักสอบตกรอบ 2 ก็ที่นี่แหละครับ) มีหน้าที่ดำเนินการให้การศึกษาและผลิตนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยจะทำการคัดเลือกผู้ที่สอบผ่านส่งไปเรียนยังโรงเรียนเตรียมทหารเป็นเวลา 3 ปี เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะเข้ารับการศึกษาต่อยังโรงเรียนนายร้อยตำรวจโดยอัตโนมัติเป็นเวลาอีก 4 ปี เมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะปรับดับยศร้อยตำรวจตรี รับปริญญาบัตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต รับพระราชทานกระบี่ และบรรจุเข้ารับราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยอัตโนมัติ รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ เว็บไซต์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งปัจจุบันรับนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิงได้ด้วย (วุฒิ ม.6)
นักเรียนนายร้อยตำรวจครับ หล่อเหลากันทั้งนั้น
ส่วนนี่เป็นคลิปนักเรียนนายร้อยตำรวจลอดซุ้มกระบี่ครับ
เป็นยังไงบ้างครับ แนะนำไปเล็ก ๆ น้อย สำหรับโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนเหล่าทัพที่ 4 พอหอมปากหอมคอนะครับ ก่อนที่จะสอบเข้าก็ควรจะทำความรู้จักกับสถาบันนั้น ๆ กันสักเล็กน้อยก่อน จะเห็นได้ว่าการจะเป็นนักเรียนนายร้อยไม่ว่าจะเหล่าใดก็ตามนั้นมันไม่ง่ายเลย จะต้องผ่านการเป็นนักเรียนเตรียมทหารก่อนครับผม เส้นทางสู่ดาวนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน ดังคำกล่าวที่ผมต้องท่องและได้ยินมาตั้งแต่เป็นนักเรียนเตรียมทหารที่ว่า "ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้ หอมยวลชวนจิตไซร้ บ่มีฯ" และคำกล่าวที่ว่า "ความลำบากที่เกินทน จะหลอมคนให้เป็นควาย เอ้ย จะหลอมคนให้ทนทาน" ซึ่งทุกวันนี้ผมยังจำได้ขึ้นใจ
สรุป
- โรงเรียนเตรียมทหาร เป็นระดับ ม.ปลาย
- ก่อนเรียนโรงเรียนนายร้อย 4 เหล่า ต้องผ่านโรงเรียนเตรียมทหารก่อน
- ใช้วุฒิ ม.3 สอบเข้า รับเฉพาะเด็กผู้ชาย ยกเว้นนายร้อยตำรวจ รับเพศหญิง วุฒิ ม.6
- จบนายร้อย 4 เหล่า ได้วุฒิ ป.ตรี พร้อมประดับยศ ร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี และร้อยตำรวจตรี และบรรจุเข้ารับราชการ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)